วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

การตั้งจุด Stop loss และ Trailing stop โดยไม่ใช้กราฟ

Monday, August 1, 2011

การตั้งจุด Stop loss และ Trailing stop โดยไม่ใช้กราฟ...ใช้แค่ใจและวินัยเทรด..ก็พอ!!


ห่างหายไปพอสมควรสำหรับบทความที่เกี่ยวกับการลงทุนครับ...วันนี้ก็จัดให้ซะหน่อย เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การเทรดแบบมีจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และการเลื่อนจุดตัดขาดทุน (Trailing Stop) ครับ วิธีที่ผมจะอธิบายนี่ไม่เกี่ยวกับกราฟเลยน่ะครับ ใช้แค่วินัยเทรดและความเสี่ยงในการเทรดต่อครั้งที่คุณรับได้ ก็เท่านั้นเอง

...พร้อมแล้วชิมิ!! งั้นไปลุยกัน!!!...

จากประสบการณ์เทรดอันน้อยนิดมหาศาล (สรุปว่าน้อยหรือมากหว่า ฮ๋าๆๆ) ผมได้ข้อสรุปอย่างนึงครับว่า...
นักลงทุนแทบทุกคนไม่มีปัญหา...เวลาซื้อ
แต่มักจะตายน้ำตื้น...เวลาขาย...หรือ...ตัดขาดทุน

จริงอยู่ครับ...ตลาด ณ จุดนี้ (SET อยู่ที่ประมาณ 1130 – 1150 จุด) เป็นตลาดขาขึ้นในภาพใหญ่ หลายๆคนก็อาจจะพูดว่า...ซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้ ถ้ามันลงมาหลุดราคาต้นทุนลงไปซัก 10 – 20%...เราก็ไม่ต้องขาย ขายทำไม ถือไปเถอะ เดี๋ยวมันก็ขึ้นกลับมาใหม่...

ถูกต้องครับ...มันขึ้นอยู่แล้ว..เพราะมันคือตลาดขาขึ้น
!!

แต่..
!! ขอเตือนเลยครับ...ยามที่ตลาดขาลงมาเยือน...ถ้าคุณไม่ขาย ดื้อถือไปเรื่อยๆ...การันตีได้ว่า...คุณได้ถือหุ้น เฝ้าหุ้น เป็นปีๆแน่นอน...เผลอๆเจ๊งหมดตัว หุ้นไม่ขึ้นมาอีกเลยก็เป็นไปได้
ดังนั้นแล้ว..ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด ที่เราจะควรมีความรู้เรื่องการตัดขาดทุนและการเลื่อนจุดตัดขาดทุน...ต่อให้คุณไม่มีความรู้เรื่องกราฟเทคนิค เทคโน อาชีวะ ก็ตามที...

...คุณก็ตัดขาดทุน...หรือสามารถ
Let Profit Run ได้อย่างไม่ต้องกังวลใดๆ...
วิธีนี้...ผมการันตีครับว่า...เมื่อคุณเลือกหุ้นที่ชอบแล้ว...คุณเคาะซื้อปุ๊บ...คุณไม่ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอแทบทุกนาทีเลยครับ...เพราะอะไร อ่านจบคุณจะรู้เอง...ถ้าไม่รู้...อ่านใหม่!! อิอิ
..ขออธิบายโดยใช้เหตุการณ์สมมติน่ะครับ เพื่อความง่ายในการเห็นภาพ..

สมมติว่านักลงทุน
P ได้ซื้อหุ้น X ที่ราคา 10 บาท โดยที่นักลงทุน P สามารถรับความเสี่ยงในการขาดทุนในการลงทุนในหุ้น X ได้ที่ 10 เปอร์เซนต์เท่านั้น...ก็คือ 9 บาท...ต่ำกว่านี้..ตัดขาดทุน!!

ต่อมา...ราคาหุ้น
X ได้ร่วงมาอยู่ที่ 9.20 บาท...ถามว่านักลงทุน P ต้องทำอย่างไร?

เครียดประสาทแด๊ก?...นอยด์โทรหามาร์?...ป๋าขาช่วยหนูที?...555
ตอบแทนเลยครับว่า...นักลงทุน P จะไม่เครียด ชิลๆ สบายๆ เพราะอะไรนั่นหรือครับ...ก็เพราะ

ราคายังไม่ถึงจุด Stop Loss ที่ตั้งไว้นั่นเอง!!

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น จะมี 2 กรณีทั้งแบบ Best Case และ Worst Case น่ะครับ


          ราคาหุ้น X ร่วงไปถึง 9 บาทหรือหลุด 9 บาท...ในกรณีนี้...นักลงทุน P จะยอม Stop Loss ทันที โดยที่ไม่สนใจว่า หุ้นอาจจะรีบาวน์หรือดีดกลับได้ในอนาคต...เพราะวินัยการลงทุนของนักลงทุน P คือ ถ้าถึงจุดตัด ก็ต้องตัด!! ไม่ต้องเสียดายครับ หุหุ

โอเคว่า...ราคาอาจจะดีดกลับทันทีก็ได้...อันนี้แล้วสำหรับเทรดเดอร์ ถือว่าเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ไม่ต้องซีเรียสครับ

แต่จะซีเรียสและเซ็งที่สุดถ้าไม่ยอมทำตามวินัยตัดขาดทุน...เพราะราคาหุ้นอาจจะร่วงต่อจาก 9 บาท ไปสู่ 5 บาท หรือต่ำกว่านั้นก็ได้...ใครจะไปรู้!!

ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกครับ...แต่อย่างน้อย
หากคุณมีวินัยเทรด...คุณก็กุมอนาคตตัวเองไว้

Best Case
          ราคาหุ้นหยุดนิ่งสร้างฐานที่ 9.20 บาทมาสักระยะ จากนั้นก็เจอแรงซื้อกลับมหาศาล จนราคาทะลุ 10 บาท ไปยืนที่ระดับ 11 บาท...ณ จุดนี้นักลงทุน P ก็มี unrealized profit อยู่ที่ 1 บาทหรือกำไร 10% นั่นเอง...ว้าวว!!

แต่ช้าก่อน
!!...ถ้าตามสูตรลงทุนแนวนี้...นักลงทุน P จะไม่ขายครับ...แต่จะเลื่อนจุดตัดขาดทุนขึ้นมาทันที โดยคำนวนจุด Stop Loss ใหม่จาก

ราคาปัจจุบัน - (ราคาปัจจุบัน X Stop Loss ที่นักลงทุนรับได้)

ดังนั้น จุด Stop Loss ใหม่ของนักลงทุน P คือ 11 บาท – (11 บาท X 10%) = 9.9 บาท!!
สังเกตอะไรมั๊ยครับว่า...ถ้าเกิดราคาหุ้นร่วงมาที่ 9.9 บาท อีกครั้ง นักลงทุน P ขาดทุนแค่ 1% เท่านั้นเอง...สิ่งนี้แหล่ะครับคือ Trailing Stop!!

แล้วเจ้า Trailing Stop นี่ มีประโยชน์อย่างไร...สำหรับผมแล้ว ผมมองว่าถ้าหุ้นที่เราถืออยู่เป็นหุ้นดีเด่น สุโค่ย! คุณก็จะสามารถเกาะขบวนรถด่วนเหาะเวหาได้ยาวนานที่สุดครับ

เช่น...ต่อมาราคาหุ้น X ดีดจาก 11 บาท ไปถึง 15 บาท โดยระหว่างทางก็มีการย่อบ้างอะไรบ้าง แต่นักลงทุน P ก็ยังไม่ขาย เพราะจุด Trailing Stop ของนักลงทุน P อยู่ที่ 10% ของราคาปัจจุบัน
เพื่อให้ง่ายต่อการเห็นภาพ ผมเลยทำตารางง่ายๆมาให้ดูกันครับ

Stop Loss (Trailing Stop)
10%


จุดขายตัดขาดทุน (ทำกำไร)
P/L (%)
ราคาซื้อ
10
9
-10%




ราคาปัจจุบัน
11
9.9
-1%

12
10.8
8%
13
11.7
17%
14
12.6
26%
15
13.5
35%
20
18
80%

เห็นแล้วใช่มั๊ยครับว่า ถ้าคุณมีวินัยเทรดที่ดีเยี่ยม คุณมีจุด Stop Loss และ Trailing Stop ที่ดีแล้วนั้น คุณจะมี Limit Loss but unlimited gain หรือคุณจะกำหนดเงินที่คุณมีโอกาสเสียได้ แต่คุณก็จะมีโอกาสทำเงินได้มหาศาลเช่นกันครับ
ที่สำคัญคือ...

...จากจุด Trailing Stop ที่มีไว้เลื่อนจุดตัดขาดทุน...
...ก็จะกลายเป็นจุด Taking Profit ทำกำไรในทันที...

...แหล่มเลย...!!

ส่วนที่ผมกล่าวมาในบทนี้..นักลงทุนหลายๆท่านอาจจะนำไปประยุกต์ได้หลากหลายครับ...จุด Stop Loss และ Trailing Stop นั้น จะเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละท่านจะรับได้...
ถ้าคุณรับความเสี่ยงได้มาก...คุณก็เพิ่มเปอร์เซ็นต์ Stop Loss เพื่อที่ในกรณีที่คุณซื้อหุ้นถูกตัว...จุด Trailing Stop ของคุณก็จะมากขึ้นด้วย โอกาสที่คุณจะทำกำไรมหาศาลก็มีมากเช่นกัน...ถ้าหุ้นตัวนั้นวิ่งแรง วิ่งฉิว...เผลอๆได้กำไรมากกว่า 100% ก็เป็นได้...สาธุๆๆๆ อิอิ

ถ้าคุณรับความเสี่ยงได้น้อย...ก็ตั้งจุด Stop Loss น้อยๆ โอกาสขาดทุนหนักๆ ก็จะไม่มีครับ ส่วนโอกาสทำกำไร ก็คงต้องแล้วแต่สไตล์การวิ่งของหุ้นตัวนั้นๆครับ

...เห็นมั๊ยครับ...วิธีนี้ผมว่าเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่ถนัดกราฟน่ะครับ...ใช้ได้ง่าย ทำได้จริง แต่สุดท้ายแล้ว...อยู่ที่ว่า...คุณจะคุมอารมณ์ตัวเองได้หรือไม่ ในยามที่ราคาหุ้นวิ่งผันผวน แต่ยังไม่แตะจุดที่คุณต้อง Stop Loss หรือ Trailing Stop ไว้ครับ

ราตรีสวัสดิ๋คร้าบบ ^_^

Wizard Kid (พีร์ บุญชนะวิวัฒน์)

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการลงทุนตาม Time Frame ตาม Life Styles แบบ สบาย สบาย

Monday, September 19, 2011

เทคนิคการลงทุนตาม Time Frame ตาม Life Styles แบบ สบาย สบาย

    วันนี้ ไม่มีบ่นครับ แต่เบื่อ เทรดหุ้นอยู่บ้าน แบบ Full time trader คงไม่ใช่คำตอบ ซะแล้วนะครับ โชคดีที่มีสอนหนังสือลงทุนหุ้นบ้าง ช่วงวันว่าง เสาร์-อาทิตย์  ก็ดีขึ้นบ้าง ได้รู้จักคนเพิ่ม หลากหลายอาชีพ มีสังคม ไม่งั้น ชีวิตนี้ คงไม่มีสังคมเอาซะ จริง จริง  หลายคน อยากกันเหลือเกินครับ อยากจะมาเป็น Full-time trader กัน เหลือเกิน  เบื่อชีวิตลูกจ้าง  ไม่ต้องทำงาน นั่งเล่นหุ้นอยู่บ้าน อยากมีอิสระในชีวิต ไม่ต้องโดนเขาว่า ....บอกได้เลย มาเมื่อ ถึงจุดหนึ่ง Full time trader ไม่ใช่คำตอบหรอก เสียสมองครับ สมองคุณไม่ได้ใช้ เต็มประสิทธิภาพ ถ้าเราลงทุนเป็นระบบ ผลตอบแทนการลงทุนน่าจะออกมาดี  ในความเห็นผม น่าจะช่วงในวัยพักผ่อนเลยมากกว่า (เล่นกับน้องหมาสักตัวสองตัว) ไม่น่าจะใช่ช่วง วัยทำงาน  เรียนมาตั้งเยอะ มานั่งเทรดอยู่บ้าน ชีวิตช่างไร้คุณค่า เรียกว่า "ช่วงไร้คุณค่า" ไม่มีประโยชน์ในชีวิตกันเสียเลย
    เลยลอง Search ว่า จะไปเป็น อาจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กับเขาบ้าง ( ในใจคิด จบโทเมืองนอก  เกรด 3.9 กว่า ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร คงจะมีสักที่รับไปให้สอนบ้าง) พอเจอข้อมูลต้องร้อง  ค่าจ้างอาจารย์นั้น บ้านเราทำไมถูกเช่นนี้ อัตราค่าจ้างอาจารย์ คณะวิศวกรรมศาตร์ วุฒิ ป.โท 13,400 บาท ป.เอก 18,270 บาท (คิดในใจ แล้วอย่างนี้ คนที่จะเป็น อาจารย์ พอกินพออยู่กันหรือ เด็กจบใหม่ได้ 15,000 บาท  ..แล้วใครจะมาเป็น อาจารย์ สมองไหล ลาออกกันหมด สิครับ ต้องขอนับถือ อาจารย์ปัจจุบันที่สอนอยู่มาก มีรักในอาชีพจริง จริง)  มาดูอัตราค่าจ้าง อาจารย์ในแคนาดากัน ในประเทศที่พัฒนาแล้ว



ระดับเกือบแสนเหรียญ ไม่ผิดนะครับ สอง-สามล้านบาท ต่อปี เรา เอง ขำ ขำ แต่บ้านเราสอนทั้งปี ได้หลักแสนบาท เอง โครงสร้างแบบนี้ คนเก่งไปไหน ไม่ต้องบอก นักเรียนทุน ยังเห็น อยู่ในแคนาดาก็มีครับ ยอมใช้ทุนรัฐบาล สรุปว่า เป็น อาจารย์ เถื่อน สอนการลงทุนแบบ Technical VI วันว่างดีกว่า ไปพลาง พลางก่อน (ปีหน้ามี Project เฟส 2 ในแคนาดา) สอนให้ลงทุนเป็นอย่างมีระบบ ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี สามารถทำได้ ไม่ได้สอนให้เป็นลูกจ้าง เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะมีประโยชน์ดีซะกว่า ....หมื่นกว่า กดปุ่ม ไม่กี่วัน ก็ได้แล้วครับ ความสามารถเล่นได้ทั้งขาขึ้น ขาลง เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและมีระบบที่ดี  เน้น ที่ดี เพราะ การ Set Indicators ไม่เหมือนกัน ในการลงทุนแต่ละประเภท เช่น Common stocks กับ Futures


วันนี้ จะแนะนำการใช้ Technical analysis ที่ใช้ Time Frame ในการลงทุนให้เหมาะสมกับ Life styles การ ทำงานของเรา  ลงทุนให้ผลตอบแทนที่ดีทำได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมาเป็น Full time trader การวิเคราะห์ทางเทคนิคเหมือนกัน  เพียงแตกต่างกันในการดู Time frame เท่านั้นครับ จะลงทุนอย่างไรให้มีความสุขเหมาะกับ Life styles ของเรากันดีกว่า

Life styles เป็นอย่างไร คือ วิถีชีวิตที่เราดำเนินชีวิตในปัจจุบัน สนใจที่จะทำ อาจจะทำงานประจำ ทำธุรกิจส่วนตัวไป ทำในสิ่งที่เรารัก อาชีพที่เรารัก เราสนใจ แต่เราสามารถลงทุนให้เงินทำงานไปด้วย ในเวลาเดียวกัน

Time Frame ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค สามารถแบ่งประเภท นักลงทุน  หมายถึง การอ่านกราฟทางเทคนิคไม่ได้แตกต่าง พื้นฐานการแปลความหมายทาง Indicators เหมือนกัน แต่ ต่างกันเพียง ช่วงเวลาในการวิเคราะห์ ในแต่ละ Time Frame

ประเภทนักลงทุนตาม Time Frame (ข้อมูลจาก Textbook)

  • Day trader - uses minute-interval charts
  • Position trader - uses minute-interval chart ,daily, weekly
  • Investor - uses weekly, monthly, yearly 

Styles ของนักลงทุน แบ่งตามการดู Time frame ได้ดังนี้

มาดูตัวอย่างกัน

หุ้นต่างประเทศ - SRV.UN- Monthly Dividend

Positioning    วัตถุประสงค์ คือ บันผลและกำไรผลต่างของราคา

VI Long term - Weekly


จะได้บันผล 18 เดือน รวมกำไรเกน Buy = $6.49   Sell = $10.61   กำไรเกน = 63.48%  ดูสัปดาห์ละครั้ง ขายหมดเทรนขาขึ้น ตาม Positioning ที่เราตั้งไว้ในการขาย ด้วยระบบ EMA -Trend following

Position trader  Short - Medium term -Daily

                  
จะได้บันผล 4 เดือน รวมกำไรเกน Buy = $9.39   Sell = $11.97   กำไรเกน = 27.47%  ดูวันละครั้ง ขายหมดเทรนขาขึ้น ตาม Positioning ที่เราตั้งไว้ในการขายด้วย  ระบบ EMA -Trend following

หุ้นไทย - ADVANC -พื้นฐานดี บันผลดี มี Story

Positioning   วัตถุประสงค์ คือ ทำกำไรผลต่างของราคา

VI Long term - Weekly


จะได้บันผล 1-2 ครั้ง 9  เดือน รวมกำไรเกน Buy = $83.59   Sell = $126.5   กำไรเกน = 50.79%  ดูสัปดาห์ละครั้ง ขายหมดเทรนขาขึ้น ตาม Positioning ที่เราตั้งไว้ในการขายด้วยระบบ EMA จาก Positioning ตามระบบ ก็ยังไม่ต้องขาย Let profit run

Position trader  Short-Medium term -Daily 


จะได้บันผล 3  เดือน รวมกำไรเกน Profit 1 = 12.9% ( Buy = 114.54   Sell = 101.38 ) Profit 2 = 10.92% ( Buy = 114.00   Sell = 126.50 )
ดูวันละครั้ง ขายหมดเทรนขาขึ้น ตาม Positioning ที่เราตั้งไว้ในการขายด้วยระบบ EMA จาก Positioning ตามระบบ ก็ยังไม่ต้องขาย Let profit run


บทสรุป   การใช้ระบบ Time Frame ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคคอล มาช่วยในการบริหารการลงทุน สามารถทำได้ ร่วมกับ Life styles ให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่อย่างมีความสุข เพียงแต่ต้องมี Positioning และ Target ในการลงทุนที่แน่นอน ซื้อเพราะอะำไร จะขายเพราะอะไร โดยไม่ต้องทิ้ง อาชีพที่เรารัก อาชีพที่เราร่ำเรียนมาหลายปี ด้วยความยากลำบาก ผลตอบแทนการลงทุน สามารถลงทุนให้ดีได้ วัน วัน ไม่ต้องมาต้องเฝ้าหน้าจอกันอย่างเดียว มันยังไม่ถึงเวลา ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์ ทำสิ่งที่เรารักดีกว่า ลงทุนอย่างเป็นระบบสามารถช่วยได้ ถ้าจะเล่นแบบเก็งกำไร Day trade ก็เพียงแต่ ปรับระดับ Time Frame ลงมาเป็นระดับนาที (บริหารหัวใจ ความตื่นเต้น เร้าใจ เลือดสูบฉีด ถ้าชอบนะครับ การวิเคราะห์ทางเทคนิคยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแตกต่าง)  การ ลงทุนที่ดี เราสามารถบริหารชีวิีตให้มีความสุข ร่วมกับการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดีและน่าพอใจได้ นำระบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคคอล มาช่วยบริหารการลงทุนอยู่กับข้อมูลปัจจุบันได้ อย่าไปคาดเดาอนาคตครับ 

Stock Investment in Global markets

Monday, September 26, 2011

เทคนิคระบบเตือนภัยด้วย Trend line เพียงเส้นเดียว ลดความสูญเสียคุณ ได้อย่างดี

  ช่วงนี้หลายคนบาดเจ็บกัน เลือดสาด นะครับ มีกำไีร กำไรหด ขาดทุน ขาดทุนเพิ่ม มาดูกันเป็นเพราะอะไร  เรียนรู้ Technical analysis มาช่วย "บริหารความเสี่ยงการลงทุน" ได้อย่างไร วันนี้ มีคำตอบ รู้งี้ รู้งี้ ....ขายก่อนดีกว่า กำไรคงไม่เหลือเท่านี้ ....ไม่เป็นไรครับ คติที่ถูกต้อง  "การรักษาต้นทุนให้คงอยู่มากกว่า การทำกำไร มีกำไรอย่ากลับมาขาดทุน"
ระบบเตือนภัยที่ดี เป็นอย่างไร  Technical analysis ประเภท Trend Line ช่วยเตือนเราได้อย่างไร จะเตือนเราได้หรือไม่ อย่างไร มาดูกัน
Trend Line มี Uptrend Line ที่ขีดเพียงเส้นเดียว นี่แหละ Classic ช่วยให้เราระวังได้ ร่วมกับการศึกษาในอดีตที่ผ่านมา ( History repeats itself)   ตี ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยครับ เพียงลากเส้นจุด Low อย่างน้อย 2 จุด ส่วนที่ทะลุแนว Trend Line เป็นจุดสำคัญที่เราต้องค่อย ค่อยจากกันเบา เบา นะ
การลงทุนในต่างประเทศ ช่วยอะไรได้ครับ เตือนอะไรเราได้ มาดูกัน ว่า ภาพรวมของตลาดโลกเป็นอย่างไร  หลายคนดูความเคลื่อนไหวตลาดทุก ตลาดทุกวัน เป็น บวก เป็น ลบ รู้หมดครับ (ดู Iphone ทุกวัน ....ผมดูอยู่ก็รู้ มาบอกทำไม)  จะบอกให้ว่า คุณดูทุกวัน แต่ คุณไม่ได้เห็น Trend ที่ภาษาไทย เรีบกว่า "แนวโน้ม" คำว่า แนวโน้ม เขาใช้ข้อมูลหลายจุด มาใช้วิเคราะห์ เพื่อให้ การวิเคราะห์มีความถูกต้อง มีสามารถคาดเดาอนาคตได้บ้าง ถึงจะไม่แม่น แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวในการลงทุนครับ
มาดูตลาดโลกทั่วโลกกัน
ตลาดหุ้น US:DOW
ตลาดหุ้นอเมริกา ทะลุ Uptrend Line เรียบร้อย เตือนแล้วว่า การลงทุนต้อง เริ่ม ถอยบ้าง แต่ยังไม่พ้น Support Line -61.8% Fibonacci ยังมีความหวังเป็นแนวโน้มขาขึ้น
ตลาดหุ้นเยอรมัน :DAX
ตลาดหุ้นเยอรมัน ทะลุ Uptrend Line เรียบร้อย พ้น Support Line -61.8% Fibonacci ยืนยันแนวโน้มขาลงชัดเจน
ตลาดหุ้นเอเชีย : Hong Kong
ตลาดหุ้นฮ่องกง ทะลุ Uptrend Line เรียบร้อย พ้น Support Line -61.8% Fibonacci ยืนยันแนวโน้มขาลงชัดเจน 

ตลาดหุ้นไทย : SET
ภาพใหญ่ ระดับเดือน (Monthly)

ตลาดหุ้นไทย ทะลุ Uptrend Line เรียบร้อย เตือนแล้วว่า การลงทุนต้อง เริ่ม ถอยบ้าง แต่ยังไม่พ้น Support Line -61.8% Fibonacci ยังมีความหวังเป็นจะแนวโน้มขาขึ้น (หวังเล็ก ๆ)
ภาพกลาง ระดับสัปดาห์ (Weekly)
ตลาดหุ้นไทย ทะลุ Uptrend Line เรียบร้อย เตือนแล้วว่า การลงทุนต้อง เริ่ม ถอยบ้าง หรือ เริ่มล้างพอร์ตการลงทุน แต่ยังไม่พ้น Support Line -61.8% Fibonacci (854 จุด)  ยังมีความหวังเป็นจะแนวโน้มขาขึ้น ค่อยกลับมาลงทุนสั้น สั้น พอได้อยู่ เด้ง เด้ง เด้ง
นักลงทุนหลายคนที่เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคคอล เขาลดพอร์ตกันตั้งแต่ 1,012-1,040 จุดนานแล้วครับ แต่ เขาอาจจะไม่ได้บอกกัน ถ้าทะลุ 1012 ลงต้องขายหุ้น ป้องกันกำไรให้มากที่สุด หรือ ลดการขาดทุนให้มากที่สุด  ไม่ใช่เกาะหุ้น ไม่ปล่อย  ที่ไม่รู้ ไม่ขาย เพราะ ยังเล่นหุ้นเหมือนคนตาบอด คิดไปเองว่า ของเราดี ไงก็ไม่ตกหรอก ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ไม่ได้ใช้เครื่องมือช่วยในการตัดสินใจแบบมีเหตุ มีผลกัน
ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ อย่างที่เห็น  ......รู้งี้ รู้งี้ .....แล้วทำไมเพิ่งมาเขียนบอก ผมบอก ผมโพสต์ อย่างบ่ิอยที่ Fanpage ผมเอง (http://www.facebook.com/pages/Kittinu-Stock-Investment-in-North-America-USCanada/185911524756511)ไม่มีใครค่อยสนใจ เห็นว่า เป็น ฺBlog ลงทุนต่างประเทศ ปิดตา ปิดใจกัน ก็บอกว่า Global markets รวมหุ้นไทยด้วยนะครับ ระบบการเงินของโลก การไหลของเงิน เกี่ยวสัมพันธ์กันทั้งโลก  ผมก็แอบลงทุนอยู่ เทรนยังดี สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี   นั่งดูดาว (DOW) ดึกๆ ให้แทบ บ้าง บางวัน.....คน ลงทุนแบบ Technical VI เขาลดพอร์ตป้องกันกำไรกันนานแล้ว เตรียมเล่น TFEX Short กันหมดแล้วครับ  ทะลุ 1,012 แทบจะไม่มีหุ้นติดพอร์ตกัน ผมเองก็เกือบหมดแทบไม่เหลือ เหลือแค่ตัวน่ารักๆ คิกคุ ไว้ประดับพอร์ต เดียวพอร์ตร้าง เขาไม่ให้เทรดเวลาเทรนมาใหม่ครับ

มาดู นักลงทุนทางเทคนิค Short TFEX ป้องกันความเสี่ยงกันจากการเรียนรู้ Technical analysis กัน


เห็นไหมครับ ว่า เขามีกำไรกัน แปดหมื่นอย่างต่ำ ต่อสัญญา เพียงไม่กี่วัน เพียงแต่เฝ้ารอติดตาม ใช้ Technical analysis ในการป้องกันความเสี่ยงชดเชยการลงทุน ในการบริหารความเสี่ยงที่ดีครับ

บทสรุป การตี Trend line เพียงเส้นเดียว ใช้เตือนเราในภาพใหญ่ ลงมาภาพเล็ก เตือนระมัดระวังในการลงทุนอย่างดี ในการบริหารความเสี่ยง ...ไม่ใช่ปลอบใจตัวเอง ถือเอาบันผลไปแล้วกัน หรือ ดีกว่า ฝากธนาคาร แต่เงินต้นหายไปชั่วคราว (พอร์ตมากกว่า 10ล้าน โอเคครับ VI แท้ยาวไป รับบันผล 1 ล้าน ที่ 10% ต่อปีเดือนละ 8 หมื่นกว่า พอเพียง แต่ บริหารดีดี จะทุนไม่ลด พอร์ตกระเป๋าจะโต แถมได้บันผล)....ศึกษาประวัติศาสตร์ว่า เขาร่ำรวยกันลงทุนช่วงไหน จะล่ำซำ ศึกษาอดีต ไม่ต้องรู้กราฟเทคนิคก็ล่ำซำได้  ถ้ามีเงินสดจะใช้ซื้อใหม่ตอนเอาบันผลก็ได้ แถมได้กำไร Upside ด้วย ถ้าเราอ่านเทรนเป็น  แต่ถ้าไม่ทันแล้ว ก็ทำใจให้สบาย นึกว่า ฝากธนาคารเอาบันผลไปแล้วกันครับ เพราะเราพลาดจากความไม่รู้ ไม่ยอมศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาใช้ในการบริหารการลงทุนร่วมกับการ วิเคราะห์ทางพื้นฐาน แบบลดความเสี่ยง  "อย่าไปโทษใคร ให้โทษตัวเราเอง".....มีเงินอยู่ในกระเป๋าเรา จะซื้อของถูกเมื่อไหร่ก็ได้ ....เอาตอนบันผลบวก Upside ด้วยก็ได้นะครับ ปลอดภัย ไม่เสียเวลารอคอย ....พลาด ไปแล้ว ยอมรับ ทำใจให้สบาย กลับมาศึกษา เรียนรู้ ปิดจุดอ่อนของเราดีกว่า รอจังหวะ การลงทุนรอบใหม่กันดีกว่้าครับ จะเอาคืนได้หมดครับ ที่เสียไป ...ลงทุนอย่างมีระบบ สามารถนำผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนได้ครับ

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

เหลียวหลังแล SET 1 ปี .. แล้วต่อไป ยังไง

... หลังจาก SET  ไหล ลง รุนแรง ราวกับว่า จะ โดด บันจี้จัมพ์ลงมา ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เพราะดูจากกราฟ แล้ว มันเป็น Free Falling มาก คือ หุ้นหลักๆ แต่ละตัว หล่นรูด แบบไร้แรงต้านทาน ตลาดเอง ก็ลงแบบ ไม่มี Brake ... มันช่างเป็น ความรู้สึก ที่ท้าทาย ปน ความเสียวซ่าน ที่ ชีวิตนักลงทุน จะพบพาได้ ไม่มากนัก
...
.
. แต่ สิ่งที่ น่ากังวล ก็คือ นักลงทุนมือใหม่ หลายคน ที่ ไม่เข้าใจ หรือ มือเก่า บางคน ก็ยัง งงๆ เข้าไปรับซื้อกันอยู่หลายวัน ด้วยความคิด อะไร ก็ไม่รู้ .... แต่ในแง่ เทคนิคคอล เทรดเดอร์ แล้ว ... มันไม่ใช่เวลาเข้าซื้อแน่นอน ... เพราะราคา ที่หล่นลงมา มัน พายุ มีด ทั้งนั้น ... ไม่กล้า เอาพอร์ทเข้าไปรับหลอกครับ เลือดสาด แน่นอน...
... หลายคนที่ ได้ รับ การฟังบรรยาย จาก Wave Riders ไป ( อย่างน้อยก็ 300 คน ล่ะ) ... คงจะ CUT LOSS กันไปแล้ว เพราะ ทั้ง Safety Belt , Air Bag มันส่งสัญญาณ ไปหมดแล้ว
จนเมื่อวันพุธ-พฤหัส (21-22 ก.ย.)  สัญญาณ สุดท้าย ร่มชูชีพ (Parachute) ก็ส่งสัญญาณ ให้กระตุกร่มได้ แล้ว (เพราะ SET มันกระโดดลง จากเส้น EMA233 day)
.
.
.. หลายคน ก็ยัง ไม่กระตุกร่ม ยังกล้าๆ กลัว  สุดท้าย วันศุกร์ (23 ก.ย.) SET กระโดดบันจี้ จัมพ์ ลงเหวไปแล้ว  ... เป็นไง คราวนี้ ยืนติดดอย อยู่ปากเหว ... ลมเย็น วิวสวย ไม่กล้าโดดตาม กันเป็นแถว ได้แต่โวยวาย .. บ่นตัดพ้อ.. โทษฟ้าดิน.. หรือหาใครก็ได้มาเป็นแพะ... จะได้ สบายใจปลอบใจตัวเองไป ..
เอา น่า ... VI จำเป็น ..ก็ได้ ไหนๆ บางคน ก็จำเป็น ตอน ปี 2008 มาแล้วรอบนึง... รอบนี้ อีกสักที ก็ไม่เป็นไรหรอก ... ปันผล หุ้นไทย สูง ใช้ได้อยู่นะครับ... ถือไปๆ ... หลายบริษัทฯ ยังพื้นฐานดีมาก.. เติบโตในระยะยาว แน่นอน... ถือยาวไป อย่างน้อย อีก 12 เดือน ... แต่กว่า รถจะขึ้นดอยมารับ คงไม่ต่ำกว่า 15-18 เดือน... เอา จัดไป ยังไง ปันผลสูงกว่า ดอกเบี้ย... สู้ๆๆๆ ... คิดซะว่า ย้ายที่ฝากเงิน ... ยังไง ซะ ปีหน้า ปี 2012  .. ธนาคาร ก็ประกันเงินฝากแค่ ล้านเดียว อยู่แล้ว ....

.
... มาลอง ดู ตลาดหุ้นไทย SET ย้อนหลัง กันไปเมื่อ 1 ปี ที่แล้ว ซิว่า หน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้าง
.
..
..  ตอนนั้น 28 สิงหาคม 2553 .. ในภาพระดับ Month ได้ตีเส้น Fibonacci Retrace ย้อนขึ้นมาจาก 200 จุด ขึ้นไปที่ 1790 จุด ก็ได้ เส้นดังภาพ ด้านบน ตอนนั้น หุ้น กำลัง เข้าใกล้ High 924 ของปี 2007 ซึ่งพอเดือน กันยายน 2553 ก็ทำ New High ผ่านขึ้นไปจนได้ ... แต่ในตอนนั้น Fibo. Retrace บอก แนวต้านสำคัญมากๆ ของภาพใหญ่ อยู่ ที่ 1124 จุด ... แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่า จะไปถึงไหม .... มันก็แค่ ตัวเลข... ที่ (บางคน) บอกว่า "มันมั่ว" ... . ก็ไม่ว่าอะไร ... ตีเส้น ไว้ลืมๆ ... ไม่เห็นจะเป็น อะไร ... ไม่มีใครตายซักหน่อย ..
..
... และอีกภาพ ที่ พลาดไม่ได้ คือ การตี เส้น Channelling ... ก็ตีเส้น Trend Line ด้านล่างก่อน ลาก จาก 200 จุด ผ่านไป ที่ 380 จุด.. แล้วก็ตีเส้น คู่ขนาน ที่ 551 จุด (ปี 1999) ... พบว่า เส้น คู่ขนาน นั้น Project ผ่าน จุด 924 (ปี 2007) พอดี ... จนขนลุก ..... O^O !!?? .... แต่ว่า มี ที่ 802 จุด (ปี 2004) มันเกินเส้น ขึ้นมา ก็เลย ตี คู่ขนาน ไว้อีกเส้น ที่ จุด 802 .... ก็ได้ ช่อง คู่ขนาน ที่ มี ข้างล่าง 1 เส้น ข้างบน 2 เส้น ไว้เป็นกรอบ ในการ มองภาพ ระยะยาวๆ  ....
..
. ในเวลาต่อมา .... มกราคม 2554
.
.  ตลาดหุ้นไทย วิ่ง ขึ้น อย่างแข็งแรง .. นักลงทุน แทบจะหลับตาซื้อ หุ้นกันเลย ใคร ที่เพิ่งเข้ามาลงทุน ในปี 2009 .. แล้วเลือกหุ้นถูกตัว ก็กลายเป็นเศรษฐี กันภายในไม่กี่เดือน ... พอร์ท โต 300%-400% กันเลย
โดย เฉพาะเมื่อ หุ้น วิ่งข้าม New High 924 แล้ว ยังขึ้นต่อ จน ข้าม 1000 จุด ....
.
.. เอาล่ะ สิ เป็น ข่าวใหญ่ข่าวดัง แล้ว ว่า ตลาดหุ้น ไทยมาแล้ว .. จะไป 1700 จุด บ้างล่ะ .. ปีนี้ ได้เห็น 1200 จุด บ้างล่ะ .... หุ้นวิ่ง เดือนละ 50-80 จุด .. เป็น เทรนดิ่ง ที่รุนแรงมาก ... มันกระตุ้น ความอยากลงทุน ของ นักลงทุนหน้าใหม่ เข้าตลาด กัน เป็น ทิวแถว ....
.
..  กำเงินกันมาคนละก้อน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามสภาพ .. หวังจะทำกำไร "รวยหุ้น ร้อยล้าน พันล้าน"
แต่.. ลืมกันไปรึเปล่า ... นี่ตลาดหุ้นนะ ไม่ใช่ เข้าบ่อน จะได้เข้ามาแล้ว แล้วถามมาร์ ว่า ตู้ไหนดี แล้วก็ใส่เงิน เข้าตู้ไป แล้วโยกคันโยก.. เสร็จ แล้ว นั่งพนมมือ .. ขึ้นสิ ขึ้นสิ .... บ้าเหรอ มันคงวิ่งขึ้นให้หรอก
.
.. เออ แต่หุ้น บางตัวมันก็วิ่งขึ้นให้จริงๆ นะ ... แหม!!  .. หน้าใหม่ ทั้งหลาย ได้กำไร กัน ไป 10%-20% ... โอ้ว !!! ... ได้ใจกันใหญ่... คราวนี้ เริ่มหนักข้อ ใส่หนักขึ้น .... ได้เรื่อง เลย พอ กลางเดือน มกราคม 2553 เท่านั้น ล่ะ SET ใจร้าย  ตบ 5 วันรวด ลง จาก 1030 จุด เหลือ 950 จุด ... คราวนี้ มึนสิ ...  อะไร นี่ มือใหม่ ทั้งหลาย ยังไม่เคยเจอ ... มือใหญ่ เวลาเขา ทำกำไร กันที มัน แรงขนาดไหน...
.
..  หลายคนเริ่ม ตั้งสติได้ ว่า ไม่ได้เข้าบ่อน ... แต่ลงทุนในตลาดหุ้น อยู่ ... เริ่มศึกษา หาความรู้ สังเกตได้จาก ... หนังสือหุ้นหลายเล่ม เริ่มขายดี ติด Best Seller หลายเล่มมากๆ ทั้งที่ปกติ หนังสือแนวนี้ ขายยากมาก... เริ่มมี Blog , Fan Page และ โพสต่างๆ ที่เกี่ยวกับหุ้น ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ...
... เริ่มเห็น นักลงทุนหน้าใหม่ ที่ยังเรียนไม่จบปริญญาตรี เพิ่มมากขึ้น ... พวกนี้ มัน เกิด Fever ตามกระแส.. ... สุดท้าย ธรรมชาติ ของ ตลาดหุ้น จะคัดเลือกผู้แข็งแกร่ง ด้วยตัวมันเอง ว่าจะให้ใครได้ อยู่รอด.. ได้ต่อไป ...

..
. เมื่อ ย้อนดู การเดินทางของตลาดหุ้นไทยแล้ว พบความน่าสนใจ ด้านเวลา พอสมควร เลยทีเดียว
.. จาก 1790 จุด ทิ้งลงมา 200 จุด ครั้งนั้น ใช้เวลา 55 เดือน ถือว่า ยาวนานมาก เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของประเทศไทยเลย เพราะต้นตอของปัญหา เกิด ที่ ประเทศไทยของเราเอง ... นักลงทุนต่างพากันเรียกว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" .. มันน่าภูมิใจไหมนี่ .... แล้วตลาดหุ้นไทย ก็ค่อยๆ ฟื้นคืนชีพ ขึ้นมา ที่ 924 จุดใน ปี 2007 ... แต่ใช้เวลา 110 เดือน ... มันใช้เวลาเป็น 2 เท่า ของขาลง ...(น่าสนใจจริงๆ)
..
แล้ว ก็เกิด Subprime Crisis 2008 .. ลงมา เลือดสาดไปตามๆ กัน ลง รวดเดียว 13 เดือน .... คราวนี้ ลงเร็ว เพราะไม่ได้เกิดปัญหา ที่ บ้านเรา เป็นปัญหา ที่ อเมริกา ... แล้วส่งผลมาโดนตลาดทั่วโลก... แต่น่าคิดนะ ของเรา ครั้งนั้นตอนที่ เทกระจาดลงมา ปี 1996 โดนกันไปเต็มๆ ...กว่าจะฟิ้น กลับมา ก็ 10 ปี  แล้วอเมริกา ในครั้งนี้ล่ะ .. ไหน ยังยุโรปอีก ... สองทวีป เลวร้ายส่งผล ถึงตลาดทั่วโลก ไปหมด แล้วสภาพแบบนี้ มัน ชัดมาก ว่า อีกนานกว่าจะกลับคืนสู่สภาพปกติ .... จะกี่ปี ล่ะ .....
.
 ..    พอถึงปลายเดือน มกราคม 2554 เราก็เริ่มเห็น สัญญาณการจบรอบ ชัดเจนขึ้น ทั้งการหลุด Trend line ระดับ Week การถดถอยของราคาระดับ Month และ Week ที่ มีความชัดเจนขึ้น
แต่เนื่องจาก การสะสมกำลังในขาขึ้นของหุ้น และตลาดหุ้นไทย ตลอด 26 เดือน ที่ผ่านมา มันแข็งแกร่งมาก.. จึงไม่ยอมจบง่ายๆ ..
.
.
.. พอเข้าสู่เดือน กุมภาพันธ์ 2554 .. ตลาดได้ ถอยพักตัวลงมาพอสมควร หุ้นใหญ่ๆ หรือ ดังๆ หลายตัวตีโค้งลงมาก อย่างพร้อมหน้า ปริมาณการซื้อขายเบาบางลงใน แต่ละสัปดาห์ ... "น่าจะขึ้นได้รึยัง" .. เป็นคำถามของหลายๆ คนที่สงสัย ... และถามกันเข้ามามากมาย ... แต่ในขณะที่ Wave Rider มองว่า น่าจะขึ้นได้ อีกสัก 1 รอบ ก่อนจะลงอย่างรุนแรง ..
.. และก็เป็นจริง ตลาดหุ้นไทย พลิกกลับ วิ่งขึ้น อย่างรุนแรง อีกรอบ ตั้งแต่กลางเดือน กุมภาพันธ์ มาจนถึง เดือน พฤษภาคม 2554 วิ่งข้าม 1100 จุด ไปเล็กน้อย แล้วก็เท ขาย ลงมาอีกครั้ง
.
  . .  พอเข้าเดือน มิถุนายน 2554  ...  ตลาดหุ้นไทย ยังหัวปักลงมา .. ในแง่ภาพกราฟ ทางเทคนิค มองได้ว่า  ราคาหุ้น และตลาด เอง เริ่มเสียทรง แล้ว หน้าตาหุ้นหลายตัวออกอาการแปลกๆ ...
.. 
 .  เข้าสู่เดือนสิงหาคม . ตลาดหุ้นไทย ออกอาการ อ่อนแรง สุดๆ  MACD week Divergent ติดต่อกัน 2 รอบ แสดงถึง ความอ่อนแอ ของตลาด Vol. ปริมาณการซื้อขายลดลงจากต้นปี อย่างชัดเจน ..
จะด้วยข่าวดี เรื่อง เลือกตั้ง หรือ ข่าวอะไร ก็แล้วแต่ ตลาดหุ้นไทย วิ่ง ทำ New High อีกครั้ง ไปถึง 1148 จุด แรงดี ทีเดียว .. แต่ดูทรงกราฟ แล้วมันแปลกตามาก เพราะ วิ่งขึ้น เร็วและแรง เกินไป .. อีกทั้ง ตลาดหุ้น ทำยอดสูงใหม่ก็จริง แต่ หุ้นตัวใหญ่ๆ ไม่ไปด้วย ไม่ทำ new high ด้วย ....
.
. หุ้นบางตัว ทั้งธนาคาร และพลังงาน ถึงกับ ทำ Price Pattern ที่น่าอันตราย ที่เรียกว่า Head & Should เกิด สัญญาณ อันตราย ในภาพกราฟ บอกเราแล้ว ว่า ... เหลือการลง อีก 1 ครั้ง และขึ้น อีก 1 ครั้ง เท่านั้น ... สำหรับปีนี้ .. ซึ่งบอกตรงๆ ว่า ในตอนนั้น ยังพอเหลือความหวังว่า SET จะกลับไป ที่ 1150 จุด ได้อีก ครั้ง ... แต่ 1200 จุด เลิกฝันไปแล้ว...
.
.. เดือน สิงหาคม ทั้งเดือน ตลาดหุ้นไทย ทิ้ง ดิ่ง ลงมาอย่างรุนแรง ใช้เวลาน้อยกว่า การวิ่งขึ้นไป ทำยอดสูง ในเดือน กรกฎาคม อีกด้วย ... ตลาดเริ่ม แสดง อัตราเร่ง ขาลง ออกมาแล้ว.... ทำภาพกราฟ คาดการณ์ อาการล่วงหน้าไว้ .... ในใจขณะนั้น ยังมองในทิศทางที่ดี ว่า น่าจะกลับขึ้นไปได้ เป็นสีฟ้า ... มาที่สุด แต่ ก็ไม่ประมาท ว่าจะลงเป็น สีแดง ... แต่สีม่วง  นั้น ความหวังเรือนรางจริงๆ
... ในที่สุด ตลาด ก็ เฉลย ตัวเอง ออกมา ว่า เลือก .. สีแดง .... (T.....T) ... ลงกันแบบ ไม่ให้ เม่า ตั้งตัวกันเลย.. .. ทำยังไงได้ ประชาธิปไตย นี่นา เลือกกัน สีนี้ ตั้งครึ่งค่อนประเทศ ..... ตลาดหุ้น ก็เลยเลือกด้วย...
... เอาลองดู ลุยไป สีแดง ก็สีแดง .. สู้ โว้ย !!! ไทยแลนด์ Only.....
.
.
. พอ เข้าสู่เดือน กันยายน 2554 ความชัดเจนเริ่มเกิดขึ้น เรื่อยๆ แล้วว่า .. ไม่มีใคร สามารถ ประคับประคอง ตลาดหุ้นไทย ให้ฝ่าวิกฤติ ของเศรษฐกิจ โลกได้อีกแล้ว ... การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ยังไม่ลงตัว .. นโยบายที่ยังไม่มีทิศทาง ชัดเจน ... ตัวใครตัวมันล่ะครับ ท่าน ... ฝรั่งก็ โกย เหมือนกัน ... ต่างชาติ เริ่มขาย กระหน่ำ ต่อเนื่อง ..... ภาพกราฟ ทางเทคนิค ก็ ฟ้องออกมาอย่างชัดเจน แล้ว ว่า ลงแน่ๆ และลึกด้วย ... แต่ด้านระยะเวลานั้น ไม่สามารถคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่า จบเร็วที่สุดก็ 34 สัปดาห์ หรืออาจจะนาน กว่านั้น ... ก็หมายความว่า ... ลงไปจนถึง ปีหน้า แน่นอน....
.
.
22 กันยายน 2554
.
วันที่ 22 กันยายน 2554 เป็น วันที่ ตลาดหุ้น ไทย ต้อง จารึกไว้เป็น ภาพประวัติศาสตร์ อีก วันหนึ่ง .. เพราะเป็นวันที่ ตลาดหุ้น กระโดดบันจี้ จัมพ์ ลงมาจากเส้น ค่าเฉลี่ย EMA233 ..
โดดลงมาแบบ Free Falling ขายทุกราคา ไม่มีกระตุก ไม่มีเด้ง ...เอาให้เห็นกันชัดๆ ว่า "กูจะลงแล้ว" ...  บางคน ตั้งสติได้ วันนั้น กระโดดตามลงมาด้วย ...เลยรอดชีวิต ..อาจจะแขนขาด ขาขาด หูแหว่ง ไปบ้าง ก็ยังพอทนได้ .... แต่ ยังมี อีกหลายคน ที่ยังมึนๆ... เอาไงดี ลงแรงเหลือเกิน ... ปีนึง ที่ผ่านมา มี แต่ เห็น กำไร 10-20% ... พอเจอ ตัวแดง 10-15%  ได้แต่ยืนตัวแข็ง ทำอะไร ไม่ถูก .."เอาไงดี เอาไงดี".... ถามใครต่อใคร ไปทั่วโลกออนไลน์ ... บางคนก็เชื่อมั่น อย่างแข็งขัน ว่า หุ้นดี พื้นฐานแน่น ปันผลงาม ... ถือได้ ... "ไม่ขาย" .... ก็ไม่ว่ากัน ...แนวใคร แนวมัน บังคับกันไม่ได้ ไม่มีใครบอกได้ หรอกว่า ตัดสินใจไปแล้ว แบบไหน จะดีที่สุด ในอนาคต .....
.
.
.
. ในวัน บันจี้จัมพ์ นั้น ภาพระดับ  Month มันยืนยัน แรงลง ที่รุนแรงอย่างมากมาย ลงมาปิด ที่ 990.59 จุด และเป็นการ Close Low  แสดงระยะทางการถดถอย ที่ชัดเจน ที่รออยู่ในวันต่อๆ ไป ให้เห็นว่า ... นี่ เพิ่งจะเป็น ก้าวแรกของการลงเท่านั้น ....
.. สภาพ อันเลวร้ายของตลาดหุ้น ทุกตลาดทั่วโลก ล้วนขานรับ กับ Operation Twist ของ FED
.. ลงกันอย่างไม่เห็น ก้น.. ว่าจะลึกถึงไหน ...... .
.
วันที่ 23 กันยายน 2554 ตลาดหุ้นไทย เปิดกระโดด และทิ้ง ลง ต่อไป แต่ ท้ายตลาด มี เด้งเล็กๆ กลับมาปิด ที่ 958.16 จุด ได้ ...แต่ ในภาพใหญ่ ไม่ใช่ สัญญาณ ที่ดี อะไร เลย...
เพราะในแง่ เทคนิคคอล แล้ว การลงแบบนี้ มันลงลึก ไปถึง 820-800 จุด ได้ แน่ๆ ...และเมื่อถึงตรงนั้นแล้ว จะเด้ง ได้สักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ... 
... ตลาดหุ้นไทย จะลงไป หยุด ที่ตรงไหน .. ไม่สามารถ คาดเดาได้ ในขณะนี้ อาจจะ เป็น 800 จุด (ยากอยู่) หรือ  660 จุด หรือ  580 จุด หรือ 475 จุด ... หรือ เลวร้ายกว่านั้น .... ใครเล่าจะรู้ได้ ... คงจะมีแต่ผู้ที่บำเพ็ญเพียร เป็น เทพ เป็น เซียน เท่านั้น ที่จะ มี อิทธิฤทธิ์ หยั่ง รู้ อนาคตได้ .....
..
... สุดท้าย คนธรรมดา อย่าง เรา ท่าน ก็ยังคงต้องไหล ไปกับกระแส ... ความเปลี่ยนแปลง ... 
คงทำตัว ให้ อยู่ใน ศีลธรรม ที่ดี ... กระทำแต่กรรมดี ...ละเว้น กรรมชั่ว อย่างน้อย ผลกรรม ทีได้ กระทำไว้ อาจจะส่งเสริม ช่วยเหลือ ให้ท่านพ้นเคราะห์ภัยได้ ... ....

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

" William J. O Neil " บันทึกความผิดพลาดสามัญ 19 ประการ

อามาฝากเฉพาะข้อที่น่าสนใจครับ

" William J. O Neil " จดบันทึกความผิดพลาดสามัญ 19 ประการ ที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ

2. ซื้อตอนหุ้นตก นั่นคือการตอกย้ำความลำเค็ญ (Buying on the way down in price, thus ensuring miserable results.) หุ้นที่กำลังตกลงมาถูกกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนดูท่าว่าถูกดี -แต่ จะจ้องรับกริชที่กำลังหล่นไปไย

3. ซื้อเฉลี่ยตอนลงมากกว่าตอนขึ้น (Averaging down in price rather than up when buying.) นี่คือการเอาเงินดีไปปนเงินเลว เป็นกลยุทธแบบมือสมัครเล่นที่จะนำไปสู่การขาดทุนหนักๆ

5. อยากรวยเร็วไม่อยากออกแรง (Wanting to make a quick and easy buck.) โลภมากใจร้อนจี๋ มีโอกาสใจด่วนโดดเข้ากองไฟแล้วเสียดายไม่อยาก Cut loss เมื่อพลาด

6. ซื้อตามเขาว่า (Buying on tips, rumors, split announcements, and other news hear from supposed market experts on TV.)
หรืออีกนัยหนึ่ง เอาเงินที่ตนสะสมมาอย่างยากเย็นไปเชื่อตามคนอื่น แทนที่จะใช้เวลาฝึกศึกษาให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร

12. ชอบขายหมูแต่ชอบกอดของเน่า (Cashing in small, easy-to-take profits while holding the losers.) อีกนัยหนึ่ง ควรทำตรงกันข้าม คือ ให้โอกาสเวลา เพื่อทำกำไรและรู้จัก cut loss

13. เป็นกังวลเกินไปกับค่าภาษีและค่าคอม (Worrying too much about taxes and commissions.)